แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมในไทย: ความต้องการที่ดินพุ่งสูงจากกลุ่มทุนจีน
ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยคาดว่าจะมีความต้องการซื้อที่ดินรวมถึง 7,000 ไร่ โดยเฉพาะในเขตนิคมอุตสาหกรรมสำคัญอย่างระยองและชลบุรี ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มทุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จากประเทศจีน เช่น BYD และ Chang’an การขยายตัวนี้ได้ผลักดันให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยที่ดินในระยองมีราคาเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มียอดขายที่ดินรวม 4,020 ไร่ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 4,000 ไร่ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมคึกคักมาจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะจากกลุ่มทุนจีน นอกจากนี้ ยังพบว่าที่ดินในจังหวัดระยองมีความต้องการเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีราคาที่ดินต่ำกว่าชลบุรีถึง 30% และเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่และเชื่อมต่อกันดี ส่งผลให้ระยองเป็นจุดสนใจสำหรับนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ราคาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมระยองยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่มีราคาขายเพียง 200,000-300,000 บาทต่อไร่ ปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1,000,000 บาทต่อไร่ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่ดินที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่พื้นที่ในนิคมพัฒนาปลวกแดง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการลงทุน ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ในทางตรงกันข้าม พื้นที่มาบตาพุดที่มีราคาที่ดินเฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อไร่ ถือว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมในไทยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีแรงผลักดันจากการลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งมองเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Views: 7