ลุ่มวัยรุ่นคูเวตสุดแสบทำรถพัง เติมน้ำแทน -

เจ้าของรถเช่าเผยกลุ่มวัยรุ่นคูเวตสุดแสบ ทำรถพัง, เติมน้ำแทนน้ำมัน

เจ้าของรถเช่าเผยพฤติกรรมสุดแสบ ของกลุ่มวัยรุ่นคูเวต ทำรถพัง, เติมน้ำแทนน้ำมัน, ด้านชาวบ้านตั้งคำถาม ทำไมถึง ปล่อยเช่าง่ายเกินไป

จากกรณีชาวบ้านเหลืออดกับพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นชาวตะวันออกกลาง และกลุ่มวัยรุ่นนักท่องเที่ยวชาวคูเวตมีพฤติกรรมขี่รถจักรยานยนต์ก่อความเดือดร้อนรำคาญและประมาทหวาดเสียว จนตำรวจต้องออกมาตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อปรามไม่ให้กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ไม่ให้มีพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอีก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบริเวณซอยสุนีย์, ซอยเย็นสบายและซอยโรงแรมวีซี ย่านพัทยาใต้ ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์รวมกลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวตะวันออกกลาง ซึ่งโซนดังกล่าวจะเต็มไปด้วยโรงแรม, ร้านอาหารสไตล์ตะวันออกกลาง, บาร์เบียร์, คาเฟ่ และต๊ะพลูไนต์คลับ (สนุ๊กพูล 8 ลูก)

ซึ่งขณะที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจแต่ละร้านจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชางตะวันออกกลาง หน้าร้านจะมี รถจักรยานยนต์จอดเรียงรายหลาย 10 คัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถเช่า นอกจากนี้ตามพื้นถนน ยังพบร่องรอยการเบิร์นยางล้อรถจักรยานยนต์ จนเป็นรอยยางไหม้ติดกับพื้นถนนหลายจุด อีกทั้งยังพบว่าจะมีกลุ่มวัยรุ่นชาวตะวันออกกลางขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนอยู่ภายในซอย บางคนก็มีพฤติกรรมขี่รถจักรยานยนต์เหมือนไม่ค่อยชำนาญ คล้ายกับเพิ่งจะหัดขี่รถจักรยานยนต์ บางกลุ่มก็จะขี่รวมกลุ่มวนเวียนอยู่ภายในซอย โดยจะสังเกตุเห็นว่าคนขี่และคนนั่งซ้อนท้ายมีร่องรอยบาดแผลจากการประสบอุบัติเหตุโดยมีผ้าพันแผลติดอยู่ที่บริเวณข้อศอกข้อเท้าและตามลำตัว บางกลุ่มก็ขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์และชอบเบิ้ลเครื่องยนต์เสียงดัง

ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเอ็ม นามสมมุติ อายุ 40 ปี เจ้าของกิจการให้เช่ารถจักรยานยนต์ เปิดใจกับถึงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวคูเวตที่มาเช่ารถจักรยานยนต์ โดยเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ที่ผ่านมา ค่อนข้างได้รับผลกระทบ จากการเช่ารถของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวคูเวต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น บางรายเช่ารถไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บางรายเช่ารถไปแล้วพอนำรถมาคืน พบว่าขี่ไปชน จนรถได้รับความเสียหายยับเยิน บางคันนำกลับมาคืนพบว่าดอกยางล้อรถอยู่ในสภาพโล้นไม่มีดอกยาง ทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนยางมาใหม่ ล่าสุด แสบเกินคำบรรยาย คือนำน้ำไปเติมในถังน้ำมัน เพื่อหลอกว่าเติมน้ำมันมาคืน จนเครื่องยนต์พัง ต้องเสียค่าซ่อมจำนวนหลายหมื่น นอกจากนี้ยังพบว่าบางรายไม่ยอมจ่ายเงิน โดยอ้างว่ารอพ่อแม่จากต่างประเทศโอนเงินมาให้ สุดท้ายก็ถูกหลอกไม่ได้เงิน แถมจะต้องมานั่งซ่อมรถเอง แต่ด้วยตนเองและครอบครัวประกอบอาชีพเช่ารถจักรยานยนต์มาเป็นเวลานาน ก็ต้องยอมรับสภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้ง เวลาถูกตำรวจจับกุม ก็ต้องตามไปเสียค่าปรับ เพื่อนำรถออกมาจาก คอกจอดรถเก็บของกลาง โดยวิธีแก้ของตนในปัจจุบัน คือจะขึ้นแบล็คลิสต์ รายชื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมไม่ดีในระหว่างการที่เช่ารถไป พอกลับมามาเที่ยวอีกก็จะไม่ให้กลับมาเช่ารถอีก

ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวบ้านในละแวก โดยไม่ประสงค์ออกนามเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ในส่วนตัวมองว่าการปล่อยเช่ารถง่ายเกินไป เพราะบางรายแค่วางพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) และมีแหล่งที่พักอาศัยชัดเจนก็สามารถเช่ารถออกไปขี่ได้แล้ว ทั้งที่ไม่มีใบขับขี่สากล ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็น กลุ่มวัยรุ่นชาวคูเวต อายุ 17-20 ปี เดินทางมาเที่ยวเมืองพัทยา ในช่วงปิดภาคเรียนระหว่างกรกฏาคม – สิงหาคม ของทุกปี พอมาเที่ยวกิจกรรมที่ดีที่สุด คือการเช่ารถจักรยานยนต์ขี่เล่น โดยจะขอเช่าอย่างน้อย 10 วันขึ้นไป บางคนก็เพิ่งมาหัดขี่รถจักรยานยนต์ที่เมืองพัทยา พอได้รถจักรยานยนต์ที่เช่ามา ก็จะรวมกลุ่มขี่ตระเวนไปทั่วเมืองพัทยา บวกกับความคึกคะนอง ก็มักมีพฤติกรรม ขี่รถจักรยานยนต์ยกล้อ เบิร์นยางล้อรถ รวมถึงการขี่รถมอเตอร์ไซต์ไล่ชนกัน แบบไม่แคร์สายตาหรือความอันตรายกับบุคคลรอบด้าน จนเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ เวลาตำรวจลงมาเข้มงวดกวดขัน ก็เหมือนไม่เกรงกลัว เหมือนกับว่าเสียค่าปรับก็จบ ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ถูกตำรวจตรวจยึด ก็จะปล่อยให้เจ้าของไปรับรถกลับมาคืนเอง จึงอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ลงมาเข้มงวดกวดขัน ในการปล่อยเช่ารถ ควรให้เจ้าของกิจการ ดำเนินการปล่อยเช่าตามกฎระเบียบของตำรวจ

พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่าที่ผ่านมา ได้กำชับให้ งานจราจรและงานสายตรวจ เข้มงวดขวดขัน ตั้งด่านตรวจสกัดจับกุม กลุ่มชาวตะวันออกกลางที่เช่ารถจักรยานยนต์ แล้วไปขี่รถสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชน รวมถึงการประสานกับเจ้าของกิจการรถเช่า ให้ดำเนินการปล่อยเช่ากับกลุ่มบุคคลที่มีใบขับขี่เท่านั้น ที่ผ่านมาตำรวจสภ.เมืองพัทยา ตำรวจท่องเที่ยวและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มีการบูรณาการ ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด เพื่อหาแนวทางการป้องกัน รวมถึงมีการประสานไปยังสถานทูตฯ ในการพูดคุยและทำความเข้าใจ หาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก